สตีฟ แนช

สตีฟ แนช
สตีฟ แนช

สตีฟ แนช (Steve Nash) หรือ สตีเฟน จอห์น แนช (Stephen John Nash) เกิดเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2517 ในเมืองโยฮันเนสเบอร์ก ประเทศแอฟริกาใต้ เป็นนักบาสเกตบอลที่มีชื่อเสียงของชาวแคนาดา และด้วยส่วนสูงอยู่ที่ 6 ฟุต 3 นิ้ว แนชได้เป็นพอยท์การ์ดตัวจริงให้กับทีมฟีนิกส์ ซันส์ในลีก NBA และได้รับเลือกให้เล่นในเกมรวมดารา ในปี ค.ศ. 2005 ถึง 2006 และยังได้รับเลือกก่อนหน้านั้นในปี ค.ศ. 2002 ถึง 2003 ขณะที่เล่นให้กับทีมดัลลัส แมฟเวอริกส์ ต่อมาในปี ค.ศ. 2005 แนช ได้รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่า โดยเอาชนะแชคิล โอนีลจากทีมไมอามี ฮีท และยังได้รางวัลนี้อีกครั้งในปี ค.ศ. 2006

สตีฟ แนช อาชีพการเล่นในNBA

การอยู่กับฟีนิกส์สมัยแรก

แนชได้รับเลือกเป็นคนที่ 15 ในการดราฟรอบแรกของNBA เมื่อปี ค.ศ. 1996 โดยทีมฟีนิกส์ ซันส์ ไม่เคยมีชาวแคนาดาคนไหนที่ถูกเลือกในอันดับสูงเช่นนี้ แต่กลับไม่มีความหมายเพราะแฟนของทีมซันส์และโห่ที่เลือกแนช ถึงแม้ว่าเขาจะประสบความสำเร็จในระดับมหาวิทยาลัย แต่เขาไม่ค่อยเป็นที่รู้จักเพราะไม่ได้เล่นให้มหาวิทยาลัยในคอนเฟอเรนซ์ที่มีชื่อเสียง แต่ด้วยความพยายามเขาได้ลงสนามมากขึ้นในฤดูกาล 1997-1998 และทำเฉลี่ยเพิ่มเป็น 9.1 แต้ม 3.4 แอสซิสต์ แต่ปีนั้นก็เป็นปีสุดท้ายที่แนชจะเล่นให้ทีมซันส์ก่อนที่จะไปอยู่ทีมอื่นเป็นเวลาหกปี

ดัลลัส

แนชได้รู้จักซึ่งเป็นเพื่อนกับผู้ช่วยโค้ชทีมดัลลัส แมฟเวอริกส์ ดอนนี เนลสัน เขาเป็นคนแนะให้ทีมเลือกแนช หลังจากเขาย้ายไปดัลลัส เนลสันก็ได้เสนอให้บิดาของเขา ดอน เนลสัน ซึ่งในขณะนั้นเป็นโค้ชและผู้จัดการทั่วไปของทีมแมฟเวอริกส์ดึงตัวแนชมา ในวันที่ดราฟในปี ค.ศ. 1998 แนช ก็ถูกเทรดจากซันส์ไปแมฟเวอริกส์เพื่อแลกกับ Martin Müürsepp, บับบา เวลส์ , สิทธิ์ในการดราฟ แพท แกร์ริตี และสิทธิ์การดราฟรอบแรกซึ่งซันส์ใช้การเลือก ชอน แมริออน ในปีแรกที่เล่นให้ดัลลัส เป็นฤดูกาลที่สั้นเนื่องจากมีการประท้วงการหยุดเล่น แนชไม่ได้ลงเล่น 10 เกมเพราะด้วยที่ความเจ็บหลัง และแฟนต่างโห่แนชตลอดทั้งฤดูกาลเพราะไม่พอใจการเทรดของทีม

ในฤดูกาล 1999-2000 เขากลับมาเล่นและทำดับเบิลหกครั้งในเดือนสุดท้ายของการเล่น และจบฤดูกาลทำเฉลี่ย 8.6 แต้ม 4.9 แอสซิสต์ สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือแนช และเพื่อนร่วมทีม เดิร์ก โนวิตสกี พัฒนาฝีมือไปสู่ระดับซูเปอร์สตาร์เสริมให้แนชพัฒนาเกมการเล่นขึ้นมาก

ในฤดูกาล 2000-2001 แนชทำเฉลี่ยถึง 15.3 คะแนน 7.3 แอสซิสต์ต่อเกม ได้ตำแหน่ง Comeback Player of the Year จากการนำเกมการบุกของแนช และการเล่นในระดับสูงของโนวิตสกี และ ฟินลี รวมทั้งผู้เล่นออลสตาร์ ฮวน ฮาวาร์ด แมฟเวอริกส์ได้เข้าเล่นในเพลย์ออฟเป็นครั้งแรกในรอบสิบปี ดัลลัสแพ้ในรอบที่สอง แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าเพลย์ออฟติดต่อกันหลายสมัยของแนชและแมฟเวอริกส์

ฤดูกาล 2001-2002 แนชทำคะแนนได้สูงสุด ที่ 17.9 คะแนน 7.7 แอสซิสต์ และได้เข้าเล่นในเกมรวมดาราของNBA และได้เลือกเป็น ออล-NBA ทีมสาม ตอนนี้เขาเป็นออลสตาร์ เริ่มปรากฏในโฆษณาทางโทรทัศน์ และเป็นส่วนหนึ่งของ Big Three ร่วมกับฟินลี และ โนวิตสกี แนชและโนวิตสกีเปิดฤดูกาลโดยการชนะติดต่อกัน 14 เกม ซึ่งนำไปสู่เพลย์ออฟรอบสุดท้ายของสายตะวันตก และแพ้ให้กับซานแอนโตนิโอ สเปอรส์ซึ่งสามารถคว้าแชมป์ในปีนั้น

แต่แนช และ Big Three ในฤดูกาล 2003-2004 แนชทำคะแนนตกลงเหลือ 14.5 ต่อเกมซึ่งไม่ได้เล่นในออลสตาร์และไม่ติดทีม ออล-เอ็นบีเอ อย่างไรก็ตามดัลลัสไม่สามารถผ่านเพลย์ออฟรอบแรกได้ เป็นผลงานที่แย่ที่สุดนับตั้งแต่ฤดูกาล 1999-2000 และเมื่อสัญญาของแนชหมดอายุลง แนชพยายามเจรจาเซ็นสัญญาระยะยาวกับ มาร์ก คิวบัน แต่ก็ไม่สำเร็จ คิวบันไม่ต้องการสูญเสียแนชไป แต่ต้องการสร้างทีมของเขาจากโนวิตสกี และไม่อยากเสี่ยงเซ็นสัญญาระยะยาวกับแนชที่มีอายุมากแล้ว ซึ่งขณะนั้นอายุ 30 ปีแล้ว ด้วยสัญญาระยะ 6 ปีรวมเป็นเงิน 63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แนชลังเลที่จะออกจากดัลลัสและถามคิวบันว่าจะเสนอสัญญาระดับเดียวกันหรือไม่ ซึ่งคิวบันลังเลและแนชก็เซ็นกับซันส์ในที่สุด

การอยู่กับฟีนิกส์ซันส์สมัยที่สอง

ฟีนิกส์ซันส์มีผู้เล่นอายุน้อยแต่อยู่ระดับซูเปอร์สตาร์สองคน คือ ฟอร์เวิร์ด ชอน แมริออน และฟอร์เวิร์ด-เซ็นเตอร์ อามาเร สเตาเดอไมร์ ซึ่งได้รับรางวัลผู้เล่นหน้าใหม่ยอดเยี่ยมแห่งปี ของฤดูกาล 2002-2003 ถึงแม้ว่าจะมีผู้เล่นที่มีพรสวรรค์และอายุน้อย แต่ทีมก็ทำสถิติชนะน้อยกว่าแม้เพียง 29 ต่อ 53 เกมในฤดูกาล หัวหน้าโค้ช ไมค์ แดนโทนี เข้ามารับตำแหน่งกลางฤดูกาลที่ผ่านมาใช้แผนการเล่นแบบ run and gun เคยนิยมในสมัยคริสต์ทศวรรษ 1980 ใช้ผู้เล่นตัวเล็กและคล่องแคล่ว โดยแดนโทนีให้แนชเล่นเกมบุกแบบฟาสต์เบรก พยายามวิ่งแซงผู้เล่นทีมรับฝ่ายตรงข้ามไปเข้าทำคะแนนที่ห่วง ทุกคนได้สิทธิ์ในการชู้ตลูกตลอดเวลา ผลลัพธ์ที่ได้คือทีมที่ทำคะแนนได้สูงสุดในทศวรรษ โดยทำได้เฉลี่ย 110.4 คะแนนต่อเกมในฤดูกาลปกติ ในการส่งลูกที่แม่นยำของแนช ไปยัง สเตาเดอไมร์ แมริออน ริชาร์ดสัน และ โจ จอห์นสัน เพื่อที่ยัดลงห่วงปรากฏในจอโทรทัศน์เป็นเพลย์เด่น ๆ จำนวนมาก ซันส์จบฤดูกาลด้วยสถิติที่ดีที่สุดของเอ็นบีเอ คือ ชนะ 62 แพ้ 20 ซึ่งชนะมากกว่าฤดูกาลก่อนถึง 33 เกม

แนช ในตำแหน่งพอยท์การ์ดตัวจริง เป็นคนที่นำทีมให้กลับมาเก่งอีกครั้ง แม้ว่าเขาทำคะแนนเฉลี่ยเพียง 15.5 แต้มต่อเกม แต่เปอร์เซนต์การชู้ตของเขาอยู่ที่ 50.2% ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดในอาชีพการเล่น และไม่ค่อยพบในตำแหน่งการ์ด สิ่งที่น่าประทับใจอีกอย่างคือแอสซิสต์เฉลี่ยที่ 11.5 ต่อเกม ซึ่งสูงสุดในอาชีพการเล่น และดีที่สุดNBAฤดูกาลนั้น แนชมีส่วนช่วยทีมมากที่สุดโดยการทำให้เพื่อนร่วมทีมเล่นดีขึ้น พวกเขาทำสถิติหลายอย่างดีที่สุดเท่าที่เคยเล่น ทั้งเพื่อนร่วมทีมและบุคคลภายนอกต่างยกความดีความชอบให้กับแนช ในปีนั้นแนชคว้ารางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าอีกด้วย

ในเพลย์ออฟ ฟีนิกส์เอาชนะเมมฟิส กริซลีส์ในรอบแรกก่อนที่จะพบกับทีมเก่าของเขาในรอบที่สอง แนชนำทีมชนะดัลลัส แมฟเวอริกส์ 4 เกมต่อ 2 ในการเล่นรอบสุดท้ายของสายตะวันออก UFABET ซันส์แพ้ทีมซานแอนโตนิโอ สเปอรส์ ใน 5 เกม ถึงแม้ว่าจะแพ้แต่แนชและซันส์ก็ยินดีกับการพัฒนาการและแนวโน้มที่ดีในอนาคต

แมจิก จอห์นสัน ซึ่งเคยทำได้ในฤดูกาล 1990-91 ได้รับเลือกเป็น ออล-เอ็นบีเอ ทีมแรก พร้อมกับ อามาเร สเตาเดอไมร์ เพื่อนร่วมทีมและเกือบได้รางวัลผู้เล่นทรงคุณค่าติดต่อกันสามปีซ้อน โดยเป็นรอง เดิร์ก โนวิตสกี